5 Steps การหาบ้านเช่าให้ถูกใจ

5 สเต็ปสำหรับใช้พิจารณาบ้านเช่าหรือห้องเช่า ก่อนตัดสินใจจ่ายมัดจำและเซ็นสัญญาเช่า เพื่อให้ได้บ้านเช่าที่ตรงใจและจ่ายค่าเช่าไหว จะได้ไม่ต้องย้ายบ่อยและมีเงินเหลือใช้ด้วย

สำหรับคนที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดหรือบ้านอยู่ห่างจากที่ทำงาน จำเป็นต้องหาบ้านเช่าหรือห้องเช่าที่อยู่ใกล้กับที่ทำงานหรือเดินทางได้สะดวกมากกว่า แต่เนื่องจากหลายคนยังไม่รู้ว่าจะเริ่มหาอย่างไรที่ตรงกับความต้องการและจ่ายค่าเช่าไหว ในวันนี้กระปุกดอมคอมก็เลยขอนำ 5 สเต็ปการหาบ้านเช่าให้ถูกใจจากเว็บไซต์ terrabkk.com มาฝากกันค่ะ

5 Steps การหาบ้านเช่าให้ถูกใจ (Terrabkk)

ด้วยสภาพการจราจรในเมืองกรุง การเดินทางจากบ้านมายังที่ทำงานดูเป็นเรื่องที่เหนื่อยและเสียเวลาเอามาก ๆ หลายคนจึงเริ่มคิดหาที่อยู่อาศัยใกล้ที่ทำงาน แต่หากจะให้ซื้อเพื่ออยู่เองเลยก็มีเงินก้อนไม่เพียงพอ หรือหากคิดให้ดีถ้าอยู่เพียงระยะเวลาสั้น ๆ ก็จะไม่คุ้มเอา สู้หาห้องเช่าเพื่อเช่าเป็นรายเดือนไปดีกว่า เนื่องจากมีความยืดหยุ่นมากกว่า เมื่อเปลี่ยนที่ทำงานหรือต้องย้ายไปที่อื่นก็สามารถเปลี่ยนได้ทันที ไม่ต้องรอขายทิ้ง แต่หลายคนยังไม่รู้ว่าหากจะหาห้องเช่าหรือบ้านเช่าจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี TerraBKK Research ได้รวบรวม 5 ขั้นตอนสู่การหาบ้านเช่าไว้ ดังนี้

STEP 1 : สำรวจงบในมือ “อย่าเกิน 30% ของรายได้”

โดยส่วนใหญ่แล้ว หากคิดค่าเช่าที่เราสามารถจะจ่ายได้มักจะคิดที่ 30% ของรายรับ เช่น หากเงินเดือน 25,000 บาท/เดือน คุณสามารถจ่ายค่าเช่าได้สูงสุดที่ 7,500 บาทต่อเดือน แต่อย่าลืมว่าคุณยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้รวมไปกับค่าเช่าด้วย เช่น ค่าน้ำ, ค่าไฟ, ค่าที่จอดรถ, ค่าอินเทอร์เน็ต, ค่าบริการซักรีดต่าง ๆ เป็นต้น หรือในบางกรณีที่ห้องเช่าที่ไม่ได้พร้อมเฟอร์นิเจอร์ ผู้เช่าเองก็ต้องไปหาเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งเข้ามาเอง

นอกจากนี้ก่อนเข้าอยู่ในเดือนแรก เจ้าของจะเก็บค่าเช่าล่วงหน้าประมาณ 1-2 เดือน และมีมัดจำอีก 1-2 เดือน (แล้วแต่ตกลง) ดังนั้นคุณต้องมีเงินก้อนซักหน่อยสำหรับเตรียมตัวเพื่อจ่ายค่าเช่าในเดือนแรก

5 สเต็ปควรรู้ สู่การหาบ้านเช่าที่ตรงใจและเหมาะกับรายได้

STEP 2 : ค้นหาฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต “ความจำเป็น VS ความต้องการ”

หาสิ่งที่นอกเหนือจากจำนวนห้องนอนและจำนวนห้องน้ำว่า ในการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ต้องการฟังก์ชั่นอะไรภายในบ้านเช่าอีกบ้าง เช่น หากคุณเป็นคนชอบทำกับข้าว ไม่กินข้าวนอกบ้าน อาจจะต้องมีครัวหรือพื้นที่สำหรับเตรียมกับข้าว หากคุณเป็นคนชอบสวนหรือพื้นที่สีเขียว บ้านเช่าก็อาจจะต้องมีสวนเล็ก ๆ หรือพื้นที่ให้ปลูกต้นไม้ได้ เป็นต้น

แต่บางครั้งฟังก์ชั่นเหล่านี้ก็ต้องแลกมากับพื้นที่ที่สูญเสียไป เช่น หากต้องการพื้นที่สีเขียว คุณอาจจะได้บ้านหรือห้องที่เล็กลง หรือถ้าเป็นห้องขนาดเท่ากันก็จะมีค่าเช่าที่แพงขึ้นไปอีก ทั้งนี้คุณควรพิจารณาถึง “ความจำเป็น” กับ “ความต้องการ” ควบคู่ไปด้วย เพื่อไม่ให้ต้องเป็นรายจ่ายเพิ่มเติมขึ้นไปอีก

STEP 3 : วาดแผนที่ชีวิตประจำวัน “สำรวจการเดินทาง”

วาดแผนที่การเดินทางคร่าว ๆ ในแต่ละวันดูว่า ในวันวันหนึ่งคุณต้องเดินทางอย่างไรบ้าง ? ใช้รถยนต์ส่วนตัว ? หรือใช้รถโดยสารสาธารณะ และต้องหาที่อยู่ในบริเวณใดจึงจะประหยัดค่าเดินทางและประหยัดเวลาให้มากที่สุด นอกจากนี้มีบางหัวข้อที่หลายคนอาจลืมนึกถึง เช่น

กิจกรรมในวันหยุดสุดสัปดาห์

บางคนอาจจะนึกถึงแต่กิจวัตรประจำวันจนลืมนึกถึงกิจกรรมที่ทำในวันหยุด เช่น บางคนอาจจะชื่นชอบการช้อปปิ้ง ก็ต้องหาบ้านเช่าใกล้ห้างสรรพสินค้า หรือบางคนอาจจะชอบการออกกำลังกาย เล่นกีฬา ก็ต้องหาบ้านเช่าที่มีพื้นที่ส่วนกลางหรือสวนสาธารณะสำหรับวิ่งหรือออกกำลังกาย

สิ่งอำนวยความสะดวก

สำรวจพื้นที่รอบ ๆ ที่คุณสนใจว่า แถวนั้นมีอะไรอำนวยความสะดวกบ้าง เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น

คำนึงถึงความปลอดภัย

ศึกษาสภาพแวดล้อมโดยรอบว่ามีความปลอดภัยมากพอหรือไม่ อาจจะเป็นการหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตหรือสอบถามคนในพื้นที่ก็ได้

5 สเต็ปควรรู้ สู่การหาบ้านเช่าที่ตรงใจและเหมาะกับรายได้

STEP 4 : เลือกประเภทบ้านเช่า “คอนโด/อพาร์ทเม้นท์/ทาวน์เฮ้าส์/บ้านเดี่ยว?”

อีกขั้นตอนที่สำคัญคือต้องเลือกว่าจะเช่าแบบใด จะเป็นคอนโด? อพาร์ทเม้นท์? หรือบ้าน? หลายคนอาจมีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่าเลือกอะไร ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้อยู่อาศัยและความจำเป็นในการใช้พื้นที่ TerraBKK จึงขออธิบายรายละเอียดของแต่ละประเภทบ้านเช่าไว้ ดังนี้

คอนโด/อพาร์ทเม้นท์

เป็นตัวเลือกที่คนส่วนใหญ่นิยมมากที่สุด เพราะมักตั้งอยู่ในเมืองและทำเลดี สะดวกต่อการเดินทาง นอกจากนี้ในด้านส่วนกลางก็จะมีนิติบุคคลสำหรับจัดการดูแล ทำให้เป็นระเบียบเรียบร้อยมากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้จะต้องอยู่รวมกับผู้อาศัยคนอื่นอีกเกือบร้อยห้อง อาจจะรู้สึกไม่เป็นส่วนตัว และปัญหาส่วนใหญ่ที่พบเจอคือปัญหาที่จอดรถไม่เพียงพอ

ทาวน์เฮ้าส์

มักเป็นที่นิยมในชานเมืองเนื่องจากราคาไม่สูงมากนัก และมีความเป็นส่วนตัวมากกว่าคอนโดหรือห้องเช่า อีกทั้งยังมีพื้นที่ใช้สอยพอสมควรเหมาะสำหรับอยู่อาศัย 2-3 คน แต่ทั้งนี้ต้องแลกกับการเขยิบออกไปในแถบชานเมือง เรื่องจากปัจจุบันทาวน์เฮ้าส์ในเมืองค่อนข้างหายาก หรือถ้ามีก็จะมีราคาที่สูงมาก

บ้านเดี่ยว

ไม่ค่อยเป็นที่นิยมสำหรับผู้เช่าเท่าไรนัก เนื่องจากมีราคาที่สูงเกินไป ค่อนข้างหายากในเมือง และด้วยพื้นที่ที่กว้างขวางอาจทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลเยอะขึ้น แต่ทั้งนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีครอบครัว มีเด็กเล็ก ๆ หรือมีสัตว์เลี้ยง

5 สเต็ปควรรู้ สู่การหาบ้านเช่าที่ตรงใจและเหมาะกับรายได้

STEP 5 : เตรียมเอกสารและพิจารณาสัญญาเช่า “เช่าบ้านต้องมีสัญญา”

เมื่อได้บ้านเช่าที่ถูกใจแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายก่อนเข้าอยู่คือการเตรียมเอกสารและนัดพบกับเจ้าของเพื่อเซ็นสัญญา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเจ้าของมักจะขอสำเนาบัตรประชาชนเราเอาไว้ และนอกจากนี้ก็มีการเซ็นสัญญาเช่าไว้ 2 ฉบับ เพื่อให้ผู้เช่าเก็บชุดหนึ่งและผู้ให้เช่าอีกชุดหนึ่ง ขั้นตอนสำคัญอยู่ตรงที่การอ่านรายละเอียดในสัญญาให้ถี่ถ้วน บางคนแค่เซ็น ๆ ไปไม่ได้อ่านให้รอบคอบ ซึ่งใจความสำคัญที่ผู้เช่าควรสนใจคือ

  ระยะเวลาเช่า ว่าเช่านานเท่าไร และสิ้นสุดสัญญาเช่าเมื่อใด ซึ่งรวมถึงวันที่ต้องย้ายของออกและวันที่ต้องคืนกุญแจเจ้าของบ้านด้วย

  ค่าใช้จ่ายและค่าปรับ ดูว่าเจ้าของบ้านมีกฎใดบ้าง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ต้องเสียค่าปรับเหล่านั้น

  สัตว์เลี้ยงในบ้าน ตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรให้เรียบร้อยก่อนว่า สามารถนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาในบ้านเช่าได้หรือไม่ เพราะเจ้าของบางคนจะไม่ให้ผู้เช่านำสัตว์เลี้ยงมาเลี้ยงด้วย

  วิธีการชำระเงิน ว่ามีการชำระเงินในรูปแบบใด และวันที่เท่าไรจึงจะครบกำหนดจ่าย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพึงระวัง เพราะบางที่มีค่าปรับหากมีการจ่ายค่าเช่าล่าช้า

  การต่อสัญญา หากคุณพึงพอใจกับบ้านเช่านี้และต้องการต่อสัญญาต่อไปอีก อย่าลืมที่จะแจ้งเจ้าของบ้านล่วงหน้า 2-3 เดือน เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าของบ้านไปปล่อยเช่าให้กับคนอื่นต่อ เพราะส่วนใหญ่เมื่อใกล้วันหมดสัญญา เจ้าของบ้านมักจะรีบหาผู้เช่ารายใหม่เข้ามาทันทีที่ผู้เช่าคนเก่าหมดสัญญา เพื่อไม่ให้เสียโอกาสเมื่อบ้านยังว่างอยู่นั่นเอง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *